Minburi Sustainable Farm

Minburi Sustainable Farm "Back to be basic". The farm, just a second away from you, produces agricultural commodities in organic ways. 12/5 Moo 16, Romklao Rd., Minburi, BKK 10510

ประวัติ 'น้อยหน่า' เข้าไทยตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา
05/06/2025

ประวัติ 'น้อยหน่า' เข้าไทยตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา

ทำความรู้จัก Sugar Apple (น้อยหน่า) หนึ่งในผลไม้ต่างแดน ที่ผูกพันเข้ากับประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา

“Sugar Apple” มีชื่อเรียกภาษาไทยว่า “น้อยหน่า” เป็นผลไม้ที่พบมากที่สุดในทวีปอเมริกากลางจนถึงใต้ และได้รับความนิยมในประเทศไทย มีลักษณะเด่นที่เปลือกสีเขียวขรุขระลักษณะเป็นตุ่มนูนหรือเป็นตา มีเนื้อสีขาวและเมล็ดเล็กสีดำ ซึ่งรสชาติของน้อยหน่านั้นมีคววามหอมหวานและนุ่มคล้ายคัสตาร์ด จึงทำให้มีชื่อเรียกที่นิยมกันอีกชื่อว่า Custard Apple

น้อยหน่าเป็นพืชที่ทนต่ออากาศแห้งแล้ง และเติบโตได้ดีในบริเวณที่อากาศอบอุ่น ในปัจจุบันจึงเป็นพืชที่พบได้ในหลายประเทศเขต Neotropic ของทวีปอเมริกาและทะเล Carribean และยังสามารถเติบโตเข้ากับระบบนิเวศของหลายประเทศ ตั้งแต่เม็กซิโก ทวีปแอฟริกา ออสเตรเลีย และ ทวีปเอเชีย

น้อยหน่าไม่มีการบันทึกไว้ว่ามีถิ่นกำเนิดที่แท้จริงในทวีปใด แต่เป็นผลไม้ท้องถิ่นของทวีปอเมริกาใต้มาอย่างช้านาน มีการคาดการณ์ว่าน้อยหน่าถูกกระจายไปยังทวีปอื่น ๆ โดยชาวโปรตุเกส ช่วงศตวรรษที่ 16 ถึง 17 เป็นยุคสมัยที่โปรตุเกสเริ่มเดินทางเพื่อทำการค้าในประเทศต่าง ๆ โดยประเทศแรกที่น้อยหน่าเดินทางไปถึงคือประเทศอินเดีย ก่อนที่ชาวโปรตุเกสจะล่องเรือมาจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง

น้อยหน่าถูกนำเข้าประเทศไทยโดยชาวโปรตุเกสในช่วงเวลานี้เช่นเดียวกัน ซึ่งตรงกับสมัยอยุธยา พร้อมกับพืชพรรณอีกหลายชนิดที่คนไทยในปัจจุบันคุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่น สับปะรด ฟักทอง มะละกอ ข้าวโพด และมันประเภทต่างๆ โดยชื่อของน้อยหน่าและผลไม้ในตระกูลเดียวกัน ถูกเรียกในภาษาโปรตุเกสว่า “anona” (อาโนนา) จึงคาดว่าเป็นที่มาของคำว่า “น้อยหน่า” นั่นเอง

นอกจากนี้ น้อยหน่ายังมีความคล้ายคลึงกับ “น้อยโหน่ง” ผลไม้ที่มาจากชาวโปรตุเกสเช่นเดียวกัน แม้ว่ารูปร่างภายนอกจะคล้ายกันมาก แต่ผลน้อยโหน่งจะมีเมล็ดมากกว่า รสชาติหวานน้อยกว่า และมีกลิ่นฉุน จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยมเท่าน้อยหน่า

น้อยหน่าเป็นพืชที่ปลูกง่าย แม้ว่าในประเทศไทยกำลังการผลิตเพื่อส่งออกจะไม่สูง แต่ก็มีการปลูกตามบ้านเรือนหรือไร่ขนาดเล็กโดยทั่วไป ฤดูกาลโดยธรรมชาติของน้อยหน่าจะอยู่ในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ถึงแม้จะชอบอากาศร้อนแห้ง แต่หากมีแหล่งน้ำที่เพียงพอและมีการตัดแต่งกิ่ง น้อยหน่าก็สามารถออกผลได้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ น้อยหน่ายังเป็นพืชเศรษฐกิจในหลายประเทศ เช่น บราซิล อียิปต์ และแอฟริกา เป็นต้น

ปัจจุบัน น้อยหน่าในประเทศไทยมีอยู่ 2 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ น้อยหน่าฝ้าย และน้อยหน่าหนัง น้อยหน่าฝ้ายหรือน้อยหน่าพื้นเมือง เป็นน้อยหน่าที่มีมาแต่อดีต แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ชนิดแรกคือน้อยหน่าฝ้ายเขียว เปลือกจะมีสีเขียว อีกชนิดจะเป็นน้อยหน่าฝ้ายครั่ง จะมีความพิเศษที่เปลือกสีม่วงแดง เนื้อสีขาวอมชมพู และมีความหยาบยุ่ยมากกว่าน้อยหน่าฝ้ายเขียว

ส่วนน้อยหน่าหนัง เป็นสายพันธุ์ที่มาจากประเทศเวียดนาม ซึ่งคำว่าหนัง นั้นมาจากชื่อเมืองดานังในเวียดนาม มีทั้งแบบผลสีเขียวและสีเหลือง (เรียกว่า น้อยหน่าหนังทอง) โดยน้อยหน่าหนัง เนื้อจะเหนียวจับตัวกันมากกว่าน้อยหน่าฝ้าย เมื่อสุก เปลือกจะล่อนออกจากเนื้อได้ง่าย

ในปัจจุบันในประเทศไทยก็ยังคงมีการพยามพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้ได้น้อยหน่าที่มีความสมบูรณ์ทั้งกลิ่น เนื้อสัมผัส และรสชาติ เช่น น้อยหน่าอติมัวย่า (Annona atemoya Hort.) หรือน้อยหน่าเพชรปากช่อง เป็นการผสมระหว่างน้อยหน่าและเซริมัวย่า (Cherimoya) ผลไม้ในวงศ์ตระกูลเดียวกัน ทำให้ได้ลักษณะที่ผลมีขนาดใหญ่มาก เนื้อแน่นไม่แตกยุ่ย และมีรสหวาน เมล็ดน้อย และสามารถเก็บได้นานหลังเก็บเกี่ยว ซึ่งน้อยหน่าเพชรปากช่องก็ยังคงเป็นพืชที่นิยมปลูกจนถึงปัจจุบัน

ผลของน้อยหน่าเป็นแหล่งของสารอาหารมากมาย มีสารต้านอนุมูลอิสระ อุดมไปด้วยวิตามินบีและซี พร้อมด้วยแร่ธาตุหลากหลายชนิด โดยเฉพาะแมงกานีส สารอาหรเหล่านี้สามารถดูแลทุกส่วนของร่างกายให้แข็งแรง และยังสามารถใช้เป็นยารักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือฝีในลำคอได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ส่วนเมล็ด ใบ เปลือกลำต้น และราก ก็ยังสามารถนำมาทำเป็นยาได้หลากหลายชนิด เช่น การนำเมล็ดและใบ มาใช้ในการรักษาเหาหรือเห็บหมัดในสัตว์เลี้ยง ซึ่งใบน้อยหน่ายังสามารถนำมาทำเป็นยากำจัดแมลงศัตรูพืชได้ รากของต้นน้อยหน่าก็สามารถใช้เป็นสมุนไพรล้างพิษ หรือเป็นยาช่วยขับถ่าย เป็นต้น

สามารถเลือกซื้อผลไม้สดใหม่หลากหลายชนิดได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ

อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ : https://www.rimping.com/categoryblog

แหล่งชาโบราณพันปี ที่เชียงใหม่
24/05/2025

แหล่งชาโบราณพันปี ที่เชียงใหม่

ป่าชาโบราณ อายุกว่าพันปี
แหล่งใหญ่ที่สุดในไทย อ.แม่แจ่ม เชียงใหม่

ชาโบราณส่วนใหญ่เป็นชาสายพันธุ์อัสสัม ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติในพื้นที่เขตป่าสูงบนดอยทางภาคเหนือของไทย คนล้านนารู้จักคุณประโยชน์มาแต่โบราณ พื้นที่ไหนมีต้นชาป่าเยอะ เขาจะเรียกว่า "ป่าเหมี้ยง" หรือ "ป่าเมี่ยง"

หน่วยจัดการต้นน้ำแม่ศึก สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 ร่วมกับ น.ส.พัทธ์ญาดา ธีรปราชญ์สกุล นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญด้านชา ได้ค้นพบและได้ทำการสำรวจป่าชาโบราณ เบื้องต้นพบต้นชา (Camellia sinensis) อาจจะเป็น Var. Taliensis เนื่องจากมีลักษณะยอดอ่อนสีแดง ซึ่งมีรายงานพบในเทือกเขาในมณฑลยูนนานของจีนเป็นหลักเท่านั้น

ชาที่พบขึ้นตามแนวสันเขา แนวกันไฟของหน่วยจัดการต้นน้ำแม่ศึก จนถึงยอดดอยซอแฆะโจ๊ะ ระยะทางยาวประมาณ 2 กิโลเมตร อยู่ในพื้นที่บ้านแม่หงานหลวง หมู่ที่ 1 ต.ปางหินฝน อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ พบจำนวนกว่า 150 ต้น โดยนับจากขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น 20 เซ็นติเมตรขึ้นไป และมีต้นแม่ที่มีขนาดเส้นรอบวงที่โคนต้นใหญ่ที่สุดขนาด 205.9 เซ็นติเมตร ซึ่งมีการแตกนางเป็นสองนา นางแรกขนาดเส้นรอบวง 88.5 เซ็นติเมตร และนางที่สองขนาดเส้นรอบวง 111.9 เซ็นติเมตร มีความสูงประมาณ 15 เซ็นติเมตร

ปัจจุบัน มีชาป่าพันปีในประเทศจีน มีรูปแบบเฉพาะชนิดหนึ่งที่ยังคงผูกโยงกับภูเขาจิ่งม่ายอย่างแยกไม่ออก เชื่อกันว่า เป็นเวลากว่าหนึ่งพันปีแล้วที่ชาวเผ่าปู้หล่าง พร้อมกับชนพื้นเมืองอีกกลุ่ม เรียกว่าชาวไต ได้ทะนุบำรุงป่าชาโบราณสายพันธุ์ Camellia sinensis var. Assamica (กลุ่มพันธุ์ชาอัสสัม) อย่างต่อเนื่อง ชาสายพันธุ์ย่อยนี้ให้ผลิตผลเป็นชาดำ ซึ่งรวมถึงชาผูเอ่อร์ที่มีสีสันและรสชาติเข้มข้นจากภูเขาดังกล่าว ชาอันเป็นที่ปรารถนาสูตรนี้กล่าวกันว่าเป็น “ทองดื่มได้” ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ผลิตจำนวนมากจะหมักชานี้เป็นเวลาอย่างน้อยสิบปี ซึ่งจะทำให้ได้รสชาติลุ่มลึกขึ้น และมีมูลค่าสูงขึ้น ในหมู่ชนชั้นมีอันจะกินที่มีจำนวนมากขึ้นของจีน เครื่องดื่มรสขมอ่อนๆ เจือรสและกลิ่นเฉพาะท้องถิ่นชนิดนี้ เทียบได้กับไวน์ชั้นเลิศทีเดียว

การค้นพบป่าชาโบราณ (ชาพันปี) ในประเทศไทยในครั้งนี้ ถือเป็นมรดกผืนป่าที่มอบคุณค่าและความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผืนแผ่นดิน ป่าไม้ ชุมชน และเป็นมรดกลูกหลานชุมชน ที่ต้องปกป้กษ์รักษา เรียนรู้ และสืบทอดความเป็นมรดกของผืนป่าให้ยั่งยืนสืบไป

#ชาพันปี #ป่าชาโบราณ #ป่าเมี่ยง #เรียนรู้และพัฒนา #ดีมีสุข #ดีมีสุขพัฒนา #ดีมีสุขไม่จำกัด #ดีมีสุขเพื่อสังคม

เทคนิคดีๆ สำหรับคอกาแฟที่มีหม้อต้มกาแฟแบบแรงดันไอน้ำ ☕️
23/05/2025

เทคนิคดีๆ สำหรับคอกาแฟที่มีหม้อต้มกาแฟแบบแรงดันไอน้ำ ☕️

มีคนถามผมเปิดถุงกาแฟออกกลิ่นหอมฟุ้ง
แต่ทำไมเวลาต้มกับ moka แล้วขมปี๋ รสชาติไม่มี กลิ่นหายหมด
ถ้าได้ดูเซียนต้ม
จะเห็นว่าพอน้ำเริ่มเดือดจนดันขึ้นมาบนปลายปล่อง เซียนจะยกออก แล้วหรี่ไฟแค่เป็นเปลวเล็กๆแล้วค่อยไปวางใหม่ น้ำกาแฟจะผุดออกจากปลายปล่องอย่างช้าๆนุ่มนวล
กาแฟรสชาติดีมีมติ นุ่มนวล หอมกำลังดี
หลักการหลักๆของการชงกาแฟอร่อยคือ อุณหภูมิน้ำต้องประมาณ90-95องศาครับ
การต้มmoka potรอบแรกเป็นการสร้างไอน้ำก่อน แล้วยกออกก่อนน้ำกาแฟจะเดือดพุ่งออกมา เพื่อลดอุณหภูมิ ให้อยู่ที่90-95 พอตั้งไฟอ่อนอีกรอบ ไอน้ำร้อนที่เกิดรอบแรกแค่ถูกกระตุ้นด้วยไฟอีกเล็กน้อยไอน้ำร้อนที่อยู่ในหม้อก็ขยายตัวดันน้ำผ่านผงกาแฟออกมาจากปลายท่อ

18/05/2025

"อ้อยไข่" ลำต้นคล้ายต้นอ้อยและต้นข้าวโพด
🌽
#อ้อยไข่
ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Saccharum edule Hasskarl
อ้อยไข่ หรือ เทอรูบุก เป็นพืชในวงศ์หญ้า (Poaceae) ที่มีความน่าสนใจและมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากอ้อยที่เราคุ้นเคยกันดี แทนที่จะปลูกเพื่อนำลำต้นมาผลิตน้ำตาล อ้อยไข่มีคุณค่าอยู่ที่ ช่อดอกอ่อน ที่ยังไม่บาน ซึ่งมีลักษณะคล้าย "ไข่" หรือ "หน่อ" อวบๆ ที่สามารถนำมารับประทานได้

ลักษณะเด่นของอ้อยไข่ (Terubuk)
🌽 ช่อดอกอ่อน นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุดของอ้อยไข่ ช่อดอกอ่อนจะมีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอก อวบน้ำ มีสีขาวหรือสีเขียวอ่อน เมื่อนำมาปรุงอาหารจะมีรสชาติหวานเล็กน้อย กรอบ และมีเนื้อสัมผัสคล้ายหน่อไม้
🌽 ลำต้นของอ้อยไข่จะมีความสูงประมาณ 1-3 เมตร มีลักษณะเป็นปล้องคล้ายอ้อยทั่วไป แต่โดยทั่วไปจะไม่หนาและแข็งเท่าอ้อยที่ใช้ผลิตน้ำตาล
🌽 ใบมีลักษณะยาวเรียว ขอบใบคม มีสีเขียว
🌽 ส่วนใหญ่ขยายพันธุ์ด้วยเหง้าหรือหน่อที่แตกออกมาจากลำต้นใต้ดิน

ช่อดอกอ่อนของอ้อยไข่เป็นส่วนที่นิยมนำมารับประทาน สามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู
อ้อยไข่เป็นพืชพื้นเมืองของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และปาปัวนิวกินี

การอนุรักษ์อ้อยไข่มีความสำคัญต่อการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของพืชในวงศ์หญ้า
ชื่อเรียกอื่นๆ:
นอกจากชื่อ "อ้อยไข่" และ "เทอรูบุก" แล้ว ในแต่ละท้องถิ่นอาจมีชื่อเรียกอื่นๆ อีก เช่น
บูเก๊ะซามา (Bughe sama)ในภาษามลายู
ติบู (Tebu) ในภาษาอินโดนีเซีย (คำว่า "tebu" โดยทั่วไปหมายถึงอ้อย แต่ในบางบริบทอาจหมายถึงอ้อยไข่)

The Earth

27/04/2025

วงจรชีวิตเพลี้ยไฟในแต่ละช่วงมีดังนี้
1. ระยะไข่ (อายุ 2-4 วัน) โดยเพศเมียตัวใหญ่กว่าเพศผู้ และวางไข่ในเนื้อเยื่อบนใบอ่อนใกล้เส้นกลางใบ หรือยอดอ่อนและผลอ่อน ไข่มีขนาดเล็กมาก สีขาวใส ขนาดยาว 0.2-0.3 มิลลิเมตร
2. ระยะตัวอ่อน เพลี้ยไฟจะฟักเป็นตัวอ่อน มีสีขาวและเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น
โดยตัวอ่อนแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
2.1 ตัวอ่อนระยะที่ 1 (อายุ 1-2 วัน)
2.2 ตัวอ่อนระยะที่ 2 (อายุ 2-4 วัน) จะอาศัยอยู่บนต้นพืช
*** ก่อนเพลี้ยไฟจะเจริญเป็นตัวเต็มวัย จะทิ้งตัวและพักตัวเข้าสู่ระยะดักแด้ในดินหรือเศษซากพืชพืชบริเวณผิวหน้าดินใต้ต้นพืช ***
3. ระยะดักแด้ มี 2 ระยะ
3.1 ก่อนเข้าดักแด้ (อายุ 1-2 วัน)
3.2 ระยะดักแด้ (อายุ 1-3 วัน)
4. ตัวเต็มวัย ตัวเต็มวัย (อายุ 30-45 วัน) ออกจากดักแด้แล้วบินขึ้นสู่พืช
วงจรชีวิตเพลี้ยไฟค่อนข้างสั้น โดยเฉลี่ยประมาณ 2-4 สัปดาห์ ซึ่งขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและความชื้น ทำให้เพลี้ยไฟสามารถเพิ่มจำนวนและระบาดได้อย่างรวดเร็ว
*** ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากดอกและผลอ่อน ทำให้ดอกแห้งและร่วงได้ ทำให้หนามทุเรียนเป็นแผลหรืออาการหนามจีบ

ขอขอบคุณข้อมูล : soundhorticulture.com และ อาจารย์สุเทพ สหายา

#ฅนเกษตร #คนเกษคร #มือใหม่ปลูกทุเรียน #เพลี้ยไฟ #วงจรชีวิตเพลี้ยไฟ #ปลูกทุเรียน #ศัตรูพืช #เกษตร #ปลูกพืช

27/04/2025

ความรู้แรกที่ต้องมี..คือ
มารู้จักชื่อ #ดอกไม้กินได้ กันก่อน!!
เมปลูกในพื้นที่อากาศร้อน 18 ชนิดตามนี้เลย
1. ฟอร์เก็ตมีน็อต 2.นกยูง
3.เล็บมือนาง 4.จันทร์ฉาย
5.พวงชมพู 6.พวงทอง
7.บลูฮาวาย 8.ไทม์(สมุนไพร)
9.ผีเสื้อ 10.เดือนฉาย
11.ลาเวนเดอร์ 12.ผีเสื้อแสนสวย
13.เดซี่ญี่ปุ่น 14.แววมยุรา
15.กระดุมทอง 16.กระดุมเงิน
17.ชาบาเมเปิ้ล(สมุนไพร) 18.โรสแมรี่(สมุนไพร)

27/04/2025

"ปลาซิวเพชรน้อย": Dwarf Rasbora;
Boraras maculatus (Duncker, 1904)

"ปลาซิวเพชรน้อย" เป็นปลาน้ำจืดของไทยในกลุ่มปลาซิว ซึ่งอยู่ในสกุล Boraras วงศ์ปลาซิว (Danionidae) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Boraras maculatus (Duncker, 1904)

ปลาซิวเพชรน้อย มีชื่อสามัญ ภาษาอังกฤษ ว่า Dwarf Rasbora, Pygmy Rasbora

ในวงการปลาสวยงามยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกหลายชื่อ เช่น ปลาซิวเพชร, ปลาซิวแคระ, ปลาซิวแคระจุด, ปลาซิวสามจุด, ปลาซิวสามจุดพรุ, ปลาซิวสามจุดใต้ เป็นต้น

ปลาซิวเพชรน้อย มีถิ่นอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดที่เป็นกรดเล็กน้อยและมีการไหลเวียนของน้ำช้า เช่น ลำธารเล็ก ๆ ในป่าพรุ หนองน้ำ หรือบริเวณที่มีใบไม้ร่วงทับถมกัน พบได้ในพื้นที่ของประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเกาะสุมาตรา

ลักษณะเด่นของปลาชนิดนี้คือขนาดที่เล็กมาก โดยโตเต็มที่ประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร ลำตัวมีสีส้มแดงถึงแดงสด โดยเฉพาะในตัวผู้ และมีจุดสีดำกลมเด่นอยู่บริเวณกลางลำตัว ครีบมีสีแดงและอาจมีขอบสีดำเล็กน้อย ทำให้เป็นปลาที่มีสีสันสวยงามและสะดุดตา

ในด้านอุปนิสัย ปลาซิวเพชรน้อยเป็นปลาที่รักสงบและอยู่รวมกันเป็นฝูง ควรเลี้ยงรวมกันอย่างน้อย 6-8 ตัวขึ้นไปเพื่อให้ปลาไม่ตื่นตระหนกและแสดงพฤติกรรมทางธรรมชาติออกมาอย่างเต็มที่ พวกมันมักจะว่ายน้ำและหากินบริเวณกลางน้ำถึงผิวน้ำ

การเลี้ยงปลาซิวเพชรน้อย ควรจัดตู้ที่มีพืชน้ำหนาแน่น มีขอนไม้หรือรากไม้ให้หลบซ่อน พื้นตู้ควรเป็นสีเข้มเพื่อขับสีสันของปลาให้โดดเด่น น้ำที่ใช้เลี้ยงควรมีคุณภาพดี มีค่า pH ประมาณ 5.0-6.5 และอุณหภูมิระหว่าง 24-26 องศาเซลเซียส

อาหารของปลาซิวเพชรน้อย ที่เหมาะสมคืออาหารขนาดเล็ก เช่น ไรแดง อาร์ทีเมีย หรืออาหารเม็ดขนาดเล็กสำหรับปลาขนาดเล็ก

🐠 #มัจฉาบำบัด 🐟 #มองปลาเพลินใจ ❤️
!!*ภาพนี้ใช้เพื่อเป็นข้อมูลความรู้ทั่วไปเท่านั้น!
ไม่ใช่เพื่อการค้า และไม่ได้ขายปลาชนิดนี้ครับ
ขอบคุณครับ ^_^

Photo by © Chris Lukhaup
https://www.facebook.com/chris.lukhaup

ข้อมูลอ้างอิง:
https://www.fishbase.org/summary/SpeciesSummary.php?ID=10879

#ปลาซิวเพชรน้อย #ปลาซิวเพชร #ปลาซิวแคระ #ปลาซิวแคระจุด #ปลาซิวสามจุด #ปลาซิวสามจุดพรุ #ปลาซิวสามจุดใต้ #ปลาซิว #ปลาน้ำจืดของไทย #วงศ์ปลาซิว

27/04/2025

“มะม่วงกะล่อน” สุกแล้วก็ยังเขียว

“มะม่วงกะล่อน” เป็นชื่อของมะม่วงป่าพันธุ์หนึ่ง มีชื่อเรียกในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันไป เช่น มะม่วงเทียน มะม่วงเทพรส มะม่วงขี้ไต้ เป็นมะม่วงพันธุ์เก่าแก่ พบได้ตามป่าทั่วไปในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพราะมะม่วงเป็นพืชเขตร้อน จึงเติบโตได้ดีและเหมาะสมกับบ้านเรา ถิ่นกำเนิดของมะม่วงนั้นสันนิษฐานว่าอยู่ในแถบประเทศพม่าและอินเดียตะวันออก และขยายพันธุ์ออกไปประเทศอื่นๆ ที่มีภูมิอากาศร้อนทั่วโลก

มะม่วงป่าบ้านเรานั้นมีหลายพันธุ์หลายชื่อมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เช่น มะม่วงไข่แลน มะม่วงขี้ยา มะม่วงชัน มะม่วงป้อม รวมไปถึงมะม่วงกะล่อน ที่เป็นกลุ่มพันธุ์มะม่วงที่นิยมนำมาแปรรูป มากกว่านำมารับประทานผลสุก แม้ว่าผลดิบจะได้รับความนิยมนำจิ้มกะปิโหว่ น้ำปลาหวาน เป็นอาหารรับประทานเล่นก็ตาม และยังมีการแปรรูปมะม่วงกะล่อนดิบเป็นมะม่วงกะล่อนแดดเดียวตามแนวทางการถนอมอาหารในยุคโบราณ ที่คงรสชาติความเปรี้ยว หอม ของมะม่วงกะล่อนไว้ และในยุคนี้หารับประทานได้ยากนัก จนทำให้กลายเป็นสินค้าขายดีกันไปเลย

มะม่วงกะล่อนนั้น เป็นต้นพืชที่เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ มีลำต้นตั้งตรง สูงใหญ่ถึง 30 เมตร แตกพุ่มหนาแน่น เปลือกผิวลำต้นแตกร่องทั้งลำต้น ใบสีเขียว เนื้อเรียบมันทั้งสองด้าน แตกดอกช่วงต้นปีและให้ผลช่วงเดือนมีนาคมถึงกลางเดือนพฤษภาคม นอกจากผลแล้ว เรามักจะนำดอกอ่อนและยอดใบอ่อนมารับประทานแกล้มกับอาหารคาวที่มีรสจัดจ้าน เช่น น้ำพริก ยำ และลาบ เป็นต้น

ลักษณะโดดเด่นของมะม่วงกะล่อนพันธุ์พื้นบ้านที่ยังไม่ได้มีการพัฒนาพันธุ์นั้น สีเปลือกของผลสุกจะไม่เป็นสีเหลืองเหมือนมะม่วงพันธุ์อื่นๆ แต่จะยังเป็นสีเขียว แต่เนื้อผลด้านในกลับนิ่มมีกลิ่นหอม รสชาติหวาน ทำให้มีการนำมารับประทานแบบง่ายๆ ด้วยการเฉือนหัวมะม่วงออก และบีบเอาเมล็ดออก แล้วดูดรับประทานเนื้อในของผลสุก เพราะมะม่วงกะล่อนมีผลเล็ก ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากในการปอกเปลือก จนเป็นที่มาของเมนูข้าวเหนียวมะม่วงกระล่อนที่ได้รับความนิยม ที่พัฒนามาจาก “มะม่วงโบก”อาหารพื้นถิ่นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มักจะนำข้าวเหนียวนึ่งธรรมดาสอดไส้เข้าไปในลูกมะม่วงสุกและรับประทานเป็นอาหารหลักของมื้อหรือเป็นอาหารว่างระหว่างมื้อ

ส่วนการพัฒนามาเป็นข้าวเหนียวมูนนั้น ก็เพียงนำมะม่วงกะล่อนสุกที่เราล้างผิวนอกให้สะอาด แล้วค่อยๆ ใช้มือนวดคลึงผลเพื่อให้เม็ดหลุดออกจากเนื้อผล เฉือนหัวมะม่วงประมาณ ¼ ของความยาวของผล แล้วนำเม็ดออก แล้วใช้ช้อนขูดเนื้อมะม่วงสุกเล็กน้อยให้เนื้อยังคงอยู่ในผล แล้วนำข้าวเหนียวมูนเข้ามาคลุกในผล รับประทานเป็นข้าวเหนียวมูนมะม่วงกะล่อนได้แล้วสำหรับ เกษตรกรที่สนใจนำไปผลิตเพื่อทำเป็นการค้า ก็ลองพลิกแพลงกันดู

ข้อมูล : สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)

#กลิ่นหอม #ข้าวเหนียว #ข้าวเหนียวมูน #มะม่วง #มะม่วงกะล่อน #รสชาติหวาน #รู้หรือไม่ #สุก #เขียว

Wow
25/04/2025

Wow

ว้าว! มันน่าทึ่งมากเลยที่ธรรมชาติมีกลไกการรักษาตัวเองแบบนี้

เมื่ออีกาไม่สบาย… มันจะมองหา "มด"
เป็นอย่างที่คุณอ่าน เมื่ออีกาเริ่มรู้สึกไม่สบาย มันจะบินมาเกาะใกล้ๆ รังมด กางปีกออก และอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้มดรุมกัดมัน

อีกาทำแบบนี้ด้วยเหตุผลที่ทรงพลัง: มดจะฉีดกรดฟอร์มิกใส่ตัวอีกา ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์เป็นยาฆ่าปรสิตตามธรรมชาติ กรดนี้ช่วยให้อีกาจัดการกับเชื้อรา แบคทีเรีย และปรสิตต่างๆ ได้ ทำให้มันฟื้นตัวได้โดยไม่ต้องพึ่งยา

พฤติกรรมนี้เรียกว่า “anting” และมีการสังเกตพบในนกหลายชนิด มันเป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งของการรักษาตัวเองของสัตว์

ธรรมชาติไม่เคยหยุดทำให้เราประหลาดใจด้วยภูมิปัญญาที่เงียบงันของมันจริงๆ

ที่มา: FEEDY LIFE HACKS (FB)
เรียบเรียงโดยเจฟ

ที่อยู่

12/5 หมู่ที่ 16 ซอยบึงขวาง 3 แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี
Bangkok
10510

เวลาทำการ

จันทร์ 09:00 - 17:00
อังคาร 09:00 - 17:00
พุธ 09:00 - 17:00
พฤหัสบดี 09:00 - 17:00
ศุกร์ 09:00 - 17:00
เสาร์ 09:00 - 17:00

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Minburi Sustainable Farmผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์