10/08/2025
สุนัขและแมวที่เคยฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าแล้ว ต้องฉีดกระตุ้นซ้ำทุกๆปีเพื่อให้ภูมิคุ้มกันโรคสูงพอในการป้องกันการติดเชืัอค่ะ
มีการประกาศเตือน ‘โรคพิษสุนัขบ้า’ ระบาด ขอให้พี่น้องระมัดระวังโดยเฉพาะ ต.บางปลา อ.บางพลี ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง และ ต.บางเพรียง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
ใครถูกกัดรีบไปพบแพทย์ด่วนๆนะครับ
เรามารู้จักโรคพิษสุนัขบ้ากันดีกว่าครับ ทำไมถูกกัดแล้วถึงตายได้เลย เพราะมันคือเชื้อ Rabies virus ซึ่งเป็นไวรัสที่มีรูปร่างคล้ายๆกระสุน ไวรัสนี้จะทำลายระบบประสาทส่วนกลางและสมอง เมื่อมีอาการแล้วจะไม่มีทางรักษาและมักเสียชีวิตทุกราย
กลไกการติดเชื้อแบ่งได้เป็นหลายช่องทาง: ได้แก่
การกัด (Bite): เป็นช่องทางหลักของการติดเชื้อ ไวรัสจะอยู่ในน้ำลายของสัตว์ที่เป็นโรค เมื่อสัตว์กัด ไวรัสจะเข้าสู่บาดแผล
การเลีย (Lick): ถ้าสัตว์ที่เป็นโรคเลียบาดแผลเปิดหรือเยื่อบุตา ปาก จมูก ก็สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน
พอไวรัสเข้าสู่บาดแผล มันจะเพิ่มจำนวนในเซลล์กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ในระยะนี้ผู้ป่วยจะยังไม่มีอาการ
หลังจากเพิ่มจำนวนในกล้ามเนื้อจนถึงระดับนึง ไวรัสจะอาศัย Acetylcholine receptor ที่ปลายประสาทเพื่อเข้าสู่เซลล์ประสาท
จากนั้นไวรัสจะเคลื่อนที่ย้อนกลับ ไปตามเส้นประสาทส่วนปลายด้วยอัตราประมาณ 1-2 เซนติเมตรต่อวัน
มุ่งเดินทางเข้าสู่สมอง:
ไวรัสจะเดินทางไปตามเส้นประสาทจนถึงไขสันหลังและเข้าสู่สมอง ซึ่งระยะเวลาการเดินทางขึ้นอยู่กับระยะทางจากบาดแผลถึงสมอง ถ้าถูกกัดที่ใบหน้าหรือศีรษะ ไวรัสจะเข้าสู่สมองได้เร็วกว่าถูกกัดที่ขา
พอเข้าสู่สมอง ไวรัสจะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในเซลล์ประสาทสมอง ทำให้เกิดการอักเสบของสมองและไขสันหลัง
ไวรัสจะเริ่มรบกวนการทำงานของเซลล์ประสาท ทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทที่รุนแรง หลังจากเพิ่มจำนวนในสมอง ไวรัสจะเดินทางย้อนกลับไปตามเส้นประสาทส่วนปลาย ไปยังอวัยวะต่างๆ เช่น ต่อมน้ำลาย ผิวหนัง หัวใจ และอวัยวะอื่นๆได้
อาการของโรคพิษสุนัขบ้า
ระยะเริ่มต้น (Prodromal phase): อาจมีอาการปวดหัว มีไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน และรู้สึกแสบคันหรือปวดบริเวณบาดแผลที่ถูกกัด
ระยะแสดงอาการ :
แบบดุร้าย (Furious rabies): พบบ่อยที่สุด มีอาการกระวนกระวาย หวาดกลัว แข็งเกร็ง และไวต่อสิ่งกระตุ้น เช่น แสง เสียง มีอาการกลัวน้ำ และกลัวลม กล้ามเนื้อกระตุก และอาจมีอาการหลอน
แบบอัมพาต (Paralytic rabies): มีอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อ เริ่มจากบริเวณที่ถูกกัดแล้วค่อยๆ ลามขึ้นไป มีสติสัมปชัญญะดีในช่วงแรก แต่จะเสียชีวิตในที่สุด
การฉีดวัคซีน
แนวทางการฉีดวัคซีนหลังถูกกัด
เมื่อถูกสัตว์สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัดหรือข่วน:
ทำความสะอาดบาดแผลทันที: ล้างแผลด้วยสบู่และน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง นานอย่างน้อย 15 นาที แล้วทาด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดน-ไอโอดีน เพื่อลดปริมาณไวรัสในบาดแผล
จากนั้นให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด: เพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
การพิจารณาฉีดวัคซีนและอิมมูโนโกลบูลิน (RIG):
แพทย์จะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่:
ประเภทของสัตว์: สุนัข แมว ค้างคาว หรือสัตว์ป่า
ลักษณะบาดแผล: การกัด การข่วน การเลีย
พฤติกรรมของสัตว์: สัตว์เลี้ยงที่ฉีดวัคซีนเป็นประจำ สัตว์จรจัด สัตว์ป่า
บริเวณที่ถูกกัด: ยิ่งใกล้สมอง (เช่น ใบหน้า ศีรษะ) ยิ่งต้องรีบฉีด
แนวทางการฉีดวัคซีน (Rabies Vaccine - RV):
โปรแกรมการฉีดวัคซีนหลังถูกกัด (PEP):
สำหรับผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน: ฉีดวัคซีนในวันที่ 0, 3, 7, 14, และ 28 (รวม 5 ครั้ง) โดยหากฉีดเข้าผิวหนังจะฉีด 2 จุด
สำหรับผู้ที่เคยได้รับวัคซีนครบมาก่อน: ฉีดกระตุ้นในวันที่ 0 และ 3 (รวม 2 ครั้ง)
อิมมูโนโกลบูลิน (Rabies Immunoglobulin - RIG):
เป็นภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปที่สกัดจากเลือดของผู้บริจาค หรือผลิตในห้องปฏิบัติการ ทำหน้าที่ทำลายไวรัสที่อยู่ในบาดแผลทันที
เงื่อนไขการฉีด:
แพทย์จะพิจารณาฉีด RIG ในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ถูกสัตว์กัดเป็นแผลลึก มีบาดแผลหลายแห่ง หรือถูกกัดบริเวณใบหน้า หัว หรือมือ
RIG จะถูกฉีดเข้าไปรอบๆ บาดแผลให้มากที่สุด เพื่อยับยั้งไวรัสตั้งแต่ยังอยู่ในกล้ามเนื้อ
สำคัญ: RIG ต้องฉีดพร้อมกับวัคซีนเข็มแรกหรือภายในวันที่ 7 หลังฉีดวัคซีนเข็มแรก หากพ้นระยะนี้ไปแล้ว ร่างกายจะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันเองแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องฉีด
สาเหตุหลักของการเสียชีวิต:
ส่วนใหญ่เกิดจากการถูกสุนัขหรือแมวกัด แล้วไม่ได้ไปพบแพทย์เพื่อรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอย่างทันท่วงที และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดนะครับ