29/01/2025
Blood Gas EP.1
ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเขียนเรื่องนี้ในอัลบั้ม #รู้ไว้ไม่โง่หมาขาวสอนน้อง หรือ #เรื่องเล่าของหมอปากหมาดี
วันนี้ขอเล่าเรื่อง Blood Gas ก่อน...สังเกตไหมเครื่องตรวจ blood gas แทบทุกเครื่องทำไมต้องมีคำว่า Stat เรามาทำความรู้จักกันเลยดีกว่า เริ่มบทเรียนแรกกันเลย
บทที่ 1 Blood gas ทำไมมักมาคู่กับคำว่า ?
คำว่า "STAT" ในทางการแพทย์มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า "statim" ซึ่งหมายถึง "ทันที" หรือ "เร่งด่วน" ดังนั้นเมื่อพูดถึง blood gas stat หมายความว่าการตรวจวิเคราะห์ค่าก๊าซในเลือด (blood gas analysis) ต้องทำอย่างเร่งด่วน เพื่อช่วยให้ทีมแพทย์ สัตวแพทย์ สามารถตัดสินใจและจัดการกับภาวะวิกฤตของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเครื่องตรวจ blood gas มักมีหูหิ้ว หรือมีขนาดเล็ก ยกเว้นเครื่องของ บ.Nova ที่ใหญ่และหนัก)
บทที่ 2 การเลือกขวดเก็บเลือดที่ใช้คู่กับการตรวจ Blood Gas
- ใช่ครับ ทุกคนทราบว่าต้องใช้หลอดเก็บเลือดที่เคลือบสาร Heparin แต่รู้ไหมว่าอากาศที่อยู่ในหลอดมีผลทำให้ค่าที่ได้ผิดเพี้ยน ดังนั้นแนะนำว่าการตรวจ blood gas ควรใช้หลอดเก็บเลือด หรือไซริงค์พิเศษที่ทำมาเพื่อ blood gas
- หลังจากดูดเลือดแล้วควรรีบไล่อากาศออกจากไซริงค์แล้วรีบใช้จุกยางรีบปิดไซริงค์เพื่อกันอากาศเข้า และรีบนำไปตรวจให้เร็วที่สุด และไม่ควรนานเกิน 10-15 นาที
หากเจาะเลือดเพื่อวิเคราะห์ blood gas แต่การจัดการตัวอย่างล่าช้า ค่าที่ได้อาจเกิดความคลาดเคลื่อน เนื่องจากกระบวนการทาง metabolism ในเม็ดเลือดแดงและเซลล์อื่นๆ ในเลือดยังคงดำเนินต่อไป
บทที่ 3 ในสัตว์เราควรเจาะจากหลอดเลือดแดง หรือหลอดเลือดดำ
- เจาะเส้นเลือดแดง:
เหมาะสำหรับการประเมินภาวะการหายใจ (Respiratory status) เช่น ความสามารถในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
การวิเคราะห์ PaO₂ (Partial pressure of oxygen) และ PaCO₂ (Partial pressure of carbon dioxide) โดยเฉพาะเมื่อสัตว์ต้องการออกซิเจนเสริม (oxygen therapy)
การประเมินสมดุลกรด-ด่าง (Acid-base balance) อย่างแม่นยำ
หากต้องการข้อมูลที่แม่นยำเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนก๊าซ (PaO₂, PaCO₂) หรือในกรณีฉุกเฉินเกี่ยวกับระบบหายใจ
เจาะเส้นเลือดดำ:
เหมาะสำหรับการประเมินภาวะกรด-ด่างในเลือด (pH, HCO₃⁻, Base excess) ซึ่งมีความใกล้เคียงกับการเจาะจากเส้นเลือดแดงในกรณีส่วนใหญ่
การติดตามการเปลี่ยนแปลงของค่ากรด-ด่างในกระแสเลือด (monitoring) โดยไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลการแลกเปลี่ยนก๊าซที่แม่นยำ
ในสัตว์ขนาดเล็กที่มีข้อจำกัด ควรเลือกใช้เส้นเลือดดำหากข้อมูลที่ต้องการไม่เน้นเรื่องการแลกเปลี่ยนออกซิเจนโดยตรง และหากจำเป็นต้องใช้เส้นเลือดแดง ควรเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมและเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม
บทที่ 4 แล้วหากต้องการดูการหายใจแต่เราไม่สามารถเจาะจากเส้นเลือดแดงได้ การใช้ผลที่ได้จากหลอดเลือดดำจะยังคงบอกอะไรเราได้ไหม
ได้ครับ ถึงแม้ว่าค่าที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจความแม่นยำไม่ดีเท่าจากเจาะเลือดที่ได้จากเส้นเลือดแดง แต่หากเราทำค่าปกติที่เฉพาะของเส้นเลือดดำออกมาเราก็ยังสามารถประเมินทุกอย่างได้ไม่ต่างจากเส้นเลือดแดง
ข้อสำคัญ...ทั้งนี้ต้องเริ่มจากวิธีการวัดค่า sO2 ของเครื่องนั้นๆก่อนว่าใช้วิธีอะไร
1. ทางตรง Direct
2. ทางอ้อม In-direct
หากสัตวแพทย์ใช้การเจาะเส้นเลือดดำเป็นหลัก เครื่อง blood gas ที่ควรใช้จะต้องใช้การวัดค่า sO2 ด้วยวิธี Direct เท่านั้น** จุดนี้มีความสำคัญมาก เพราะหากการวัดระดับ sO2 ทางอ้อม (In-direct) จะทำให้ได้ค่า sO2 ที่ไม่ถูกต้อง
ยกตัวอย่าง เช่น
ค่า sO2 ที่ถูกคำนวณมาจากค่า pO2 ที่ลดลงมันควรได้ค่า SO2 ที่ลดลง แต่ถ้าหลอดเก็บเลือดไม่เสถียร และมีอากาศเข้ามาจะทำให้ค่า pO2 สูงส่งผลให้ได้ค่า sO2 สูง ทั้งๆที่เจาะจากหลอดเลือดดำซึ่งเป็นไปไม่ได้ ได้ค่าที่ผิด ส่งผลให้วินิจฉัยระบบทางเดินหายใจผิดนั่นเอง ซึ่งนี่คือจุดด้อยของเครื่อง Idexx VetSTAT และ iSTAT
ค่า sO2 ที่เจาะจากเลือดดำในสุนัขและแมวควรอยู่ช่วงประมาณ 60-80% ไม่ใช่แบบตามค่าปกติที่บริษัท Idexx อ้างอิงที่ 93-100% และบริษัท Zoetis อ้างค่าปกติที่ 95-100%
บทที่ 5 การนำค่า blood gas parameters ต่างไปใช้งานจริง
เป็นที่รู้กันมายาวนานว่าสัตวแพทย์มักตรวจค่า blood gas เพียงในเคสที่รุนแรง รวมถึงการอ่านผลที่ยากและซับซ้อนทำให้สัตวแพทย์ส่วนมากน้อยคนที่แปลผลได้ ยิ่งมาเจอผลเลือดที่ได้ค่าผิด ไม่ว่าจากการตั้งค่าปกติที่ผิดจากทางบริษัท หรือจากการใส่หลอดตัวอย่างที่ไม่ถูกต้องนี่คือสิ่งที่ทำให้สัตวแพทย์หลายคนท้อกับการอ่านผล blood gas เพราะผลเลือดไม่สอดคล้องและมีความขัดแย้งกัน
Blood gas จริงๆสามารถใช้ได้ในหลายกรณี เช่น
✅ ภาวะฉุกเฉิน → Shock, Sepsis, ARDS, GDV, Trauma
✅ โรคระบบหายใจ → Pneumonia, Pulmonary Edema, Brachycephalic Syndrome
✅ โรคไตและเมตาบอลิซึม → CKD, Addison’s, DKA, Ethylene Glycol Poisoning
✅ ภาวะกรด-ด่างผิดปกติ → Acidosis, Alkalosis
✅ อิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ → K⁺, Na⁺, Cl⁻ ผิดปกติ
✅ ติดตามภาวะพร่องออกซิเจน & Ventilation → ICU, เครื่องช่วยหายใจ
และในบางเครื่องมีค่า Lactate ให้มาสามารถทำให้สัตวแพทย์วิเคราะห์ภาวะ Septic Shock, GDV (Gastric Dilatation Volvulus), Trauma, Heat Stroke → ค่า Lactate สูงขึ้น เป็นสัญญาณของภาวะช็อกและการขาดออกซิเจนของเนื้อเยื่อ
แล้ว blood gas กับโรคหัวใจล่ะ ?
✅ ติดตามภาวะพร่องออกซิเจน (Hypoxia) → pO₂, SpO₂
✅ ตรวจภาวะหายใจล้มเหลว (Respiratory Failure) → pCO₂, pH
✅ ประเมินภาวะกรด-ด่าง (Acidosis/Alkalosis) → pH, HCO₃⁻, BE
✅ ติดตามภาวะช็อกและเนื้อเยื่อขาดออกซิเจน → Lactate
✅ ช่วยตัดสินใจในการให้ออกซิเจนและเครื่องช่วยหายใจ
จริงๆมีอีกมากมายที่สัตวแพทย์สามารถใช้การตรวจ blood gas เพื่อประเมินอาการต่าง ภาวะการณ์ต่างๆของโรคต่างๆ และอวัยวะต่างๆของร่างกายได้แม้กระทั่งตับอ่อนที่ไม่ได้กล่าวถึงในนี้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องตรวจ blood gas แค่เกิดภาวะฉุกเฉินแบบในอดีตอีกต่อไป
สุดท้ายก่อนจบ EP. 1 นี้ขอแนะนำว่าควรเลือกเครื่อง Blood gas ที่ตรวจค่า sO2 ด้วยวิธี direct และควรใช้หลอดเก็บเลือด heparin ชนิดพิเศษในการเก็บตัวอย่างเลือด และหากคุณเป็นคนนึงที่ใช้เครื่องมาก่อนอยู่แล้วลองกลับไปดูว่าค่าปกติที่ทางบริษัทผู้ผลิตเครื่องให้มานั้นมันถูกต้องจริงหรือไม่ ค่าที่ได้สอดคล้องกับอาการและค่าอื่นๆไหม
ส่วน EP.2 คอยติดตามการเจาะลึกลงไปของ blood gas นะครับ